วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

แบบฝึกหัดที่ 1-8

นาย อดิศักดิ์ ขันแข็ง       57011316073
วิทยาลัยการเมืองการปกครอง  ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

บทที่ 1 แนวคิดและแนวโน้มเกี่ยวกับข้อมูลสารสนเทศยุคใหม่
จงเติมในช่องว่างว่าข้อใดเป็นข้อมูลหรือสารสนเทศ
1.) ข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ เช่น คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่
2.) ข้อมูลปฐมภูมิ คือ ข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมจากผู้ที่ให้ข้อมูลหรือแหล่งที่มาโดยตรง
      ยกตัวอย่างประกอบ การสัมภาษณ์ การแจกแบบสอบถาม การสอบถามทางโทรทัศน์
3.) ข้อมูลทุติยภูมิ คือ ข้อมูลที่ผู้ใช้นำมาจากหน่วยงานอื่นหรือผู้อื่นที่ได้ทำการเก็บรวบรวมมาแล้วในอดีต
      ยกตัวอย่างประกอบ รายงานประจำปีของหน่วยงานต่างๆ
4.) สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูล ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ สารสนเทศเกิดจากการนำข้อมูลผ่านระบบประมาลผล คำนวณ วิเคราะห์และแปลความหมายเป็นข้อความ
5.) จงอธิบายประเภทของสารสนเทศ สารสนเทศแบ่งตามหลักคุณภาพได้ 2 ประเภท คือ
     1.สารสนเทศที่เชื่อถือได้ เช่น ข้อเท็จจริง สถิติ ตัวเลข ที่นำเสนออย่างเป็นทางการ สามารถนำไปใช้ประโยชน์สำหรับการตัดสินใจและการวางแผนได้
      2.สารสนเทศที่เชื่อถือได้น้อย เช่น ความคิดเห็น สามัญสำนึก ความรู้ทั่วไปที่นำเสนออย่างไม่เป็นทางการ
6.) ข้อเท็จจริงของสิ่งต่างๆที่อาจเป็นตัวเลข ข้อความ รูปภาพ เสียง คือ ทรัพยากรไม่ตีพิมพ์
7.) ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลเป็น สารสนเทศ
8.) ส่วนสูงของเพื่อนที่ถามจากเพื่อนแต่ละคนเป็น ข้อมูลปฐมภูมิ
9.) ผลของการลงทะเบียนเป็น ข้อมูลทุติยภูมิ
10.) กราฟแสดงจำนวนนิสิตในห้องเรียนวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน Section วันอังคารเป็น ข้อมูลทุติยภูมิ

บทที่ 2 บทบาทสารสนเทศกับสังคม
จงตอบคำถามต่อไปนี้
1.) ให้นิสิตหารายชื่อเว็บไซต์หรือเทคโนโลยีที่ให้บริการต่างๆ ตามหัวข้อเหล่านี้มาอย่างละ 3 รายการ
1.1 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาการศึกษา
      - sites.google.com/site/krunoptechno/kar.../kar-prayukt-dan-kar-suksa
      - www.thaigoodview.com/node/92443
      - www.csjoy.com/story/net/tne.htm
1.2 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพธุรกิจ พาณิชย์ และสำนักงาน
      - http://www.weloveshopping.com
      - http://www.shopat7.com/
      - http://www.thaiebaybible.com/about-thai-ebay-bible/
1.3 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพการสื่อสารมวลชน
      - http://www.mcot.net/modernineTV
      - http://www.cattelecom.com/site/th/main.php
      - http://bangyai9675mhz.tht.in/
1.4 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทางอุตสาหกรรม
      - http://www.mitrphol.com/th/index.php
      - http://www.thaitobacco.or.th/
      - http://www.skmould.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=290914
1.5.การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทางแพทย์
      - http://www.thailabonline.com/
      - http://clinic.worldmedic.com/main/index.php
      - http://www.doctor.or.th/taxonomy/term/93/all
1.6.การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทหาร ตำรวจ
      - http://www.pinon lines.com/node/14079
      - http://www.rta.mi.th/torbor.html
      - http://www.royalthaipolice.go.th/
1.7.การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพวิศวกรรม
     - http://www.yotathai.net/
     - http://www.dpt.go.th/
     - http://medi.moph.go.th/
1.8.การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพด้านเกษตรกรรม
     - http://kasetonline.com/
     - http://www.kasetporpeang.com/
     - http://www.rakbankerd.com/agriculture/
1.9.การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับคนพิการต่างๆ
   -http://elearning.nectec.or.th/index.phpmod=Courses&op=showcontent&cid=50&lid=380&page=1
      - http://www.rs.mahidol.ac.th/thai/library.html
      - http://www.komchadluek.net/detail/20110206/88021/%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8.html
2.) มหาวิทยาลัยมหาสารคามเตรียมเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการศึกษาให้กับท่าน มีอะไรบ้างบอกมาอย่างน้อย 3 อย่าง
      - ระบบลงทะเบียนเรียน
      - ห้องสมุดกิจกรรม มมส. ออนไลน์
      - ระบบ e-learning
3.) ข้อ 2 จงวิเคราะห์ว่าท่านจะเอาเทคโนโลยีเหล่านั้น มาทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองอย่างไรบ้าง
     - ระบบลงทะเบียนเรียน ใช้ในการลงทะเบียน เช็คตารางเรียน ตารางสอบ ใ้ช้เช็คความเคลื่อนไหวของกิจกรรมต่างๆ ของมหาวิทยาลัย


บทที่ 3 การรู้สารสนเทศ
จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
1.) ข้อใดเป็นความหมายที่ถูกต้องที่สุดของการรู้สารสนเทศ
     ง. ความสามารถของบุคคลในการเข้าถึง ประเมิน และใช้งานสารสนเทศ
2.) จากกระบวนการของการรู้สารสนเทศ ทั้ง 5 ประการ ประการไหนสำคัญที่สุด
     ข. ความสามารถในการค้นหาสารสนเทศ
3.) ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของผู้รู้สารสนเทศ
     ค. ขอบใช้คอมพิวเตอร์ในการเล่นเกม
4.) ข้อใดไม่ใช่ความสำคัญของการรู้สารสนเทศ
     ก. โลกมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดยเน้นวัตถุนิยมมากขึ้น
5.) ข้อใดเป็นการเรียงลำดับขั้นตอนของกระบวนการเรียนรู้สารสนเทศที่ถูกต้อง
     ง. -4.ความสามารถในการค้นหาสารสนเทศ
         -3.ความสามารถในการใช้และการสื่อสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
        -5.ความสามารถในการตระหนักว่าเมื่อใดจึงจะต้องการสารสนเทศ
        -1.ความสามารถในการประมวลสารสนเทศ
        -2.ความสามารถในการประเมินสารสนเทศ


บทที่ 4 เทคโนโลยีสารสนเทศ
1. ให้นิสิตยกตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศตามหัวข้อต่อไปนี้ อย่างน้อยหัวข้อละ 3 ชนิด แล้วแลกเปลี่ยนกันตรวจสอบกับเพื่อน
1) การบันทึกและจัดเก็บข้อมูล
     แฟลตไดร์ฟ กล้องถ่ายรูป ฮาร์ดดิกส์
2) การแสดงผล
    เครื่องพิมพ์ จอภาพ พลอตเตอร์
3) การประมวลผล
    คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์
4) การสื่อสารและเครือข่าย
    อินเทอร์เน็ต ทีวี โทรศัพท์
2. ให้นิสิตนำตัวเลขในช่องขวา มาเติมหน้าข้อความในช่องซ้ายที่มีความที่สัมพันธ์กัน
..7.. ซอฟต์แวร์
..3.. Information Technology
..1.. คอมพิวเตอร์ในยุคประมวลผลข้อมูล
..6.. เทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วย
..10.. ช่วยเพิ่มผลผลิต เพิ่มต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
..5.. ซอฟ์ตแวร์ระบบ
..8.. การนำเสนอบทเรียนในรูปมัลติมีเดียที่มีผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ตามระดับความสามารถ
..9.. EDI
..4..การสื่อสารโทรคมนาคม
..2.. บริการชำระภาษีออนไลน์

บทที่ 5 การจัดการสารสนเทศ
1.จงอธิบายความหมายของการจัดการสารสนเทศ
     ตอบ การ จัดการสารสนเทศ หมายถึง การผลิต การจัดเก็บ ประมวลผล ค้นหาและเผยแพร่สารสนเทศโดยจัดให้มีระบบสารสนเทศ การกระจายของสารสนเทศทั้งภายในและภายนอกองค์กร

2.การจัดการสารสนเทศมีความสำคัญต่อบุคคลและต่อองค์การอย่างไร
     ตอบ มีความสำคัญต่อบุคคลในด้านการดำรงชีวิตประจำวัน การศึกษาและการทำงานประกอบอาชีพต่างๆ
     มีความสำคัญต่อองค์การในด้านการบริหารจัดการ การดำเนินงานและกฎหมาย

3.พัฒนาการของการจัดการสารสนเทศแบ่งออกเป็นกี่ยุค อะไรบ้าง
     ตอบ การจัดการสารสนเทศแบ่งออกเป็น 2 ยุค คือ การจัดการสารสนเทศด้วยระบบมือและการจัดการสารสนเทศโดยใช้คอมพิวเตอร์

4.จงยกตัวอย่างการจัดการสารสนเทศที่นิสิตใช้ในชีวิตประจำวันมาอย่างน้อย 3 ตัวอย่าง
     ตอบ 1.การจัดการสารสนเทศด้านการศึกษา
              2.การจัดการสารสนเทศด้านข้อมูลข่าวสาร
              3.การจัดการสารสนเทศด้านพาณิชย์

บทที่ 6 การประยุกต์ใช้สารสนเทศในชีวิตประจำวัน
1.การประยุกต์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประดยชน์เป็นความหมายของข้อใด?
     ตอบ 4 พัฒนาการ

2.เทคโนโลยีสารสนเทศใดก่อให้เกิดผลด้านการเสริมสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม?
     ตอบ 2 ระบบการเรียนการสอนทางไกล

3.การฝากถอนเงินผ่านเอทีเอ็ม (ATM) เป็นลักษณะเด่นของเทคโนโลยีสารสนเทศข้อใด?
     ตอบ 1 ระบบอัตโนมัติ

4.ข้อใดคือการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ?
     ตอบ 4 ถูกทุกข้อ

5.เทคโนโลยีสารสนเทศหมายถึงข้อใด?
     ตอบ 1 การประยุกต์เอาความรู้มาทำให้เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษย์

6.เครื่องมือที่สำคัญในการจัดการสารสนเทศในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศคืออะไร?
     ตอบ 4 ถูกทุกข้อ

7.ข้อใดไม่ใช่บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ?
     ตอบ 4 เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้มีการสร้างที่พักอาศัยที่มีคุณภาพ

8.ข้อใดไม่ใช่อุปกรณ์ที่ช่วยงานด้านสารสนเทศ?
     ตอบ 1 เครื่องถ่ายเอกสาร

9.ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ?
     ตอบ 3 ไม่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

10.ข้อใดคือประโยชน์ที่ได้จากการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้กับการเรียน?
     ตอบ 4 ถูกทุกข้อ


บทที่ 7 ความปลอดภัยของสารสนเทศ
1.หน้าที่ของไฟร์วอลล์ (Firewall) คืออะไร
     ตอบ เป็น ระบบรักษาความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์แบบหนึ่งที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีทั้งอุปกรณ์ Hardware และ Software โดยหน้าที่หลักๆ ของ Firewall นั้น จะทำหน้าที่ควบคุมการใช้งานระหว่าง Network ต่างๆ

2.จงอธิบายคำศัพท์ต่อไปนี้ที่เกี่ยวข้องกับไวรัสคอมพิวเตอร์ worm, virus computer, spy ware, adware มาอย่างน้อย 1 โปรแกรม
     ตอบ worm เป็นไวรัสประเภทหนึ่งที่ก่อกวนระบบสามารถทำสำเนาตัวเอง (copy) และแพร่กระจายไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ได้ ทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนตัวและในระบบเครือข่ายเสียหาย ไวรัสวอร์มนี้ปัจจุบันมีหลากหลายมาก มีการแพร่กระจายของไวรัสได้รวดเร็วมาก

3.ไวรัสคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
     ตอบ แบ่งออกได้ 2 ชนิด ได้แก่ Application viruses และ System viruses

4.ให้นิสิตอธิบายแนวทางการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์มาอย่างน้อย 5 ข้อ
     ตอบ 1.สร้างแผ่นรีบูต emergency disk เพื่อใช้ในการกู้ระบบ
              2.ปรับปรุงฐานข้อมูลไวรัสทุกวันหรืออย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง
              3.เปิดใช้งาน auto protect
              4.ก่อนเปิดไฟล์จากแผ่นที่นำมาใช้จากที่อื่นให้สแกนหาไวรัสก่อน
              5.ทำการตรวจหาไวรัสทุกสัปดาห์

5.มาตรการด้านจริยธรรมคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมการใช้อินเตอร์เน็ตที่เหมาะสมกับสังคมปัจจุบัน ได้แก่
     ตอบ 1.กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
              2.กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
              3.กฎหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
              4.กฎหมายแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์
              5.กฎหมายลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์


บทที่ 8 การใช้สารสนเทศตามกฎหมายและจริยธรรม
1."นาย A ทำการเขียนโปรแกรมขึ้นมาโปรแกรมหนึ่งเพื่อทดลองโจมตีการทำงานของคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งานได้ โดยทำการระบุ IP-Address โปรแกรมนี้สร้างขึ้นเพื่อทดลองในงานวิจัย นาย B ที่เป็นเพื่อนสนิทของนาย A ได้นำโปรแกรมนี้ไปทดลองใช้แกล้งนางสาว C เมื่อนางสาว C ทราบเข้าก็เลยนำโปรแกรมนี้ไปใช้และส่งต่อให้เพื่อนๆ ที่รู้จักได้ทดลอง" การกระทำอย่างนี้เป็น ผิดจริยธรรมหรือผิดกฎหมายใดๆ หรือไม่ หากไม่ผิดเพราะเหตุใด และหากผิด ผิดในแง่ไหน จงอธิบาย
     ตอบ เป็น การกระทำผิด เพราะโปรแกรมนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในการทดลองวิจัยเท่านั้นไม่ได้มีการ เผยแพร่ให้ใช้งานจริง ขณะเดียวกันคนที่นำไปใช้คือนาย B ซึ่งไม่ได้รับความเห็นชอบของนาย A ผู้พัฒนา โดยนำไปแกล้งนางสาว C ความผิดนี้ถือเป็นการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาและนำโปรแกรมในการทดลองไปใช้จริง

2."นาย J ได้ทำการสร้างโฮมเพจ เพื่อบอกว่าโลกแบบโดยมีหลักฐาน อ้างอิงจากตำราต่างๆ อีกทั้งรูปประกอบ เป็นการทำเพื่อความสนุกสนานไม่ได้ใช้ในการอ้างอิงทางวิชาการใดๆ เด็กชาย K เป็นนักเรียนในระดับประถมปลายที่ทำรายงานส่งครูเป็นการบ้านภาคฤดูร้อนโดยใช้ ข้อมูลจากโฮมเพจของนาย J" การกระทำอย่างนี้เป็น ผิดจริยธรรม หรือผิดกฏหมายใดๆ หรือไม่ หากไม่ผิดเพราะเหตุใด และหากผิด ผิดในแง่ไหน จงอธิบาย

     ตอบ การ กระทำของนาย J ผิดจริยธรรมตรงที่ทำข้อมูลเท็จหลอกลวงผู้อื่นเป็นการกระทำผิดที่ขาดการยั้ง คิดทำโดยคิดถึงแต่ความสนุกสนานของตนไม่นึกถึงผลที่ตามมาซึ่งทำให้ส่งผลกระทบ ต่อเด็กชาย K ที่รู้เท่าไม่ถึงการและไม่ได้มีการวิเคราะห์สารที่ได้รับมาก่อนทำให้ทำงาน ส่งครูไปแบบผิดๆ

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ตำนานนิทานขูลูนางอั๋ว

คับและก้อมาถึงเรื่องสุดท้ายที่ผมจะเอามาเล่าให้ฟังกันน่ะคับเรื่องขูลูนางอั่วนี้ถือเป็นนิทานที่สะท้อนถึงปัญหาของครอบครัวได้เป็นอย่างดีเลยล่ะคับคับเราไปดูกันเลยว่าจะมีเนื้อหาที่ดีขนาดไหนไปดูเลยคับ


ขูลูนางอั้ว


   
ว่ากันว่ามีหมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่ง ชื่อว่า บ้านโคกกง และอีกหมู่บ้านหนึ่งชื่อ บ้านทุ่งมน สองหมู่บ้านนี้ติดกัน รักใคร่สามัคคีกันดี ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ครอบครัวสัญญากันไว้ว่า ถ้าใครมีลูกชายจะให้เป็นเพื่อนกัน หากอีกฝ่ายเป็นหญิงจะให้แต่งงานกัน โดยไม่มีเงื่อนไข 

    
วันหนึ่งฝ่าย นางกาสี อยู่บ้านโคกกง ซึ่งมีสวนส้ม กำลังสุกเหลือง ส่วนฝ่ายบ้านทุ่งมน เกิดอยากกินผลส้มเลยชวนพวกมาขอผลส้มกินแต่ นางกาสีหวงไม่ยอมยกให้ จนเกิดผิดใจกันระหว่างเพื่อน ก็เลยเลิกคบค้ากัน ขนาดว่าจะไม่ให้ลูกหลานคบค้าสมาคมกัน และแค้นใจมาก
    
     18 
ปีต่อมา ฝ่ายนางกาสี มีลูกชายชื่อ ขูลู ส่วนอีกฝ่าย มีลูกสาวชื่อ นางอั้ว ทั้งสองเกิดรักใคร่ชอบกัน โดยที่ไม่ฟังคำคัดค้านจากฝ่ายพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายเลยแม้แต่น้อย พ่อของนางอั้วกลัวลูกสาวไปปล่อยตัวปล่อยใจจนเกินงามให้ ขูลู เลยออกอุบายให้นางอั้วแต่งงานกับ ขุนลาง หลานเจ้าสัว มหาเศรษฐีปล่อยเงินกู้ผู้กว้างขวางและเอารัดเอาเปรียบในหมู่บ้านทุ่งมน วันหนึ่ง ขุนลางกับน้าชาย ได้ทวงเรื่องหนี้สินที่พ่อนางอั้วเคยหยิบยืมไป แต่ก็ไม่มีให้ในที่สุด น้าชายของขุนลางบังคับให้นางอั้วแต่งงานเพื่อชดใช้หนี้ นางไม่ยินยอมเพราะมีใจให้ขูลูอยู่ จึงตัดสินใจ ในคืนก่อนเข้าพิธีแต่งงานหนึ่งวันกับขุนลาง มอบกายให้ขูลูจากนั้นก็ตัดสินใจผูกคอตาย พอขูลูรู้ข่าวการตาย จึงใช้มีดแทงตัวตายตามนางอั้วไปและทั้งสองก้อได้ไปเกิดเป็นดอกไม้ชื่อดอกขูลูนางอั้ว

รูปภาพดอกขูลูนางอั้ว

อ้างอิง
https://www.gotoknow.org/posts/251589

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ตำนานเจ้าแม่สองนางสถิตย์

คับวันนี้ผมก็จะมาเล่าเรื่องตำนานเจ้าแม่สองนางสถิตย์น่ะคับชึ่งเจ้าแม่สองนางนี้จะเป้นที่เคารพบูชาของคนที่อยู่ลุ่มแม่น้ำโขงไปดูกันเลยคับเป็นยังไง

เจ้าแม่สองนางสถิตย์

          ตั้งอยู่ที่ ถ.สำราญชายโขง ริมแม่น้ำ เยื้องไปทางทิศเหนือของวัดศรีมงคลใต้ ติดกับท่าด่านตรวจคนเข้าเมือง จ.มุกดาหารศาลาเจ้าแม่สองนางพี่น้องนี้มีเรื่องเล่าขานกันมานานว่า
          ราวปี พ.ศ. 1896 เจ้าฟ้างุ้ม แห่งเมืองลานช้าง เป็นบุตรเขยกษัตริย์เมืองอินทะปััด ได้พาลูกหลานอพยพ
ตามลำน้ำโขงผ่านเมืองหนองคาย เมืองนครพนม จนถึงเขตเมืองมุกดาหาร แล้วเกิดเรือล่ม ที่บริเวณ
ปากห้วยมุก ธิดาสาวทั้งสองคนซึ่งมีพระนามว่า พระนางพิมพา กับพระนางลมพามา สิ้นชีพตักษัยจนกระทั้งปี พ.ศ. 2313
เจ้ากินรีได้มาสร้างเมืองมุกดาหารพร้อมกับได้สร้างโบสถ์วัดศรีมงคลใต้ขึ้น และในขณะก่อสร้าง
ได้พบพระเมาลีพระพุทธรูปเหล็กจมอยู่ใต้พื้นดิน
          ( บริเวณศาลเจ้าแม่สองนางพี่น้องในปัจจุบัน ) จึงขุดไปประดิษฐาน ณ โบสถ์วัดศรีมงคลใต้ แต่พอรุ่งขึ้น พระพุทธรูปเหล็กองค์นั้น ก็กลับมาประดิษฐานอยู่ที่เดิม ที่พบในครั้งแรกอีก ชาวบ้านจึงพากันเรียกว่า "พระหลุบเหล็ก" ประกอบกับ บริเวณดังกล่าว ทุกวันขึ้น 11 ค่ำ เดือน 6 จะมีเสียงร่ำไห้ของผู้หญิงสองคน ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเสียงของพระนางพิมพากับพระนางลมพามาและได้แสดงอภินิหารให้ปรากฎอยู่เนือง ๆ
          เจ้ากินรี เจ้าเมืองมุกดาหารได้สืบทราบประวัติแห่งความเป็นมาจึงตั้งศาลขึ้น ณ ที่แห่งนั้น เพื่อให้วิญญาณ
ได้สิงสถิต เมื่อ พ.ศ.2315 และได้ขนาน นามว่า "ศาลเจ้าแม่สองนางพี่น้อง" อันเป็นที่เคารพสักการะของ ชาวเมืองมุกดาหารโดยทั่วกัน โดยถือเอาเดือนพฤษภาคม ของทุกปีเป็นเดือนที่ทำพิธี เซ่นไหว้และบวงสรวง ศาลเจ้าแม่สองนางพี่น้อง ตั้งแต่นั้นมาจนถึงทุกวันนี้. 
ชาวมุกดาหารถือว่า ศาลเจ้าแม่สองนางพี่น้อง
           เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่กับศาลเจ้าพ่อเจ้าฟ้ามุงเมือง ในวันนี้ 15 ค่ำ เดือน 6ของทุกปีชาวมุกดาหาร
จะจัดให้มีพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อเจ้าฟ้ามุงเมืองและเจ้าแม่สองนางพี่น้องพร้อมกัน 


อ้างอิง
http://www.hellomukdahan.com/citydistrict/ampurmuang/thailand-mukdahan-travel-area.php

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ตำนานก่องข้าวน้อยฆ่าแม่

สวัสดีครับสำหรับเรื่องต่อไปนี้นะครับบอกได้เลยเลยครับว่าเป้นเรื่องทีคุ้นหูของหลายคนเช่นกันและยังเป็นเรื่องที่มีโบราณสถานอยู่จริงๆด้วยไปดูกันเลยคับว่าเรื่องอะไรครับ

ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่

          วันหนึ่งเมื่อหลายร้อยปีมาแล้วที่บ้านตาดทอง ในฤดูกาลของฝน ได้มีการเตรียมปักดำกล้าต้นข้าว  และทุกครอบครัวจะออกไปไถนาเตรียมการเพราะปลูก มีครอบครัวของชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นเด็กกำพร้าพ่อ ได้ออกไปปลุกข้าวเช่นเดียวกัน
วันหนึ่งเขาไถนาอยู่จนตะวันขึ้นสูงแล้วรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นยิ่งนัก และหิวข้าวมากกว่าทุกวัน ปกติแล้วแม่จะมาส่งก่องข้าวให้ทุกวัน แต่วันนี้กลับมาช้ากว่าปกติมาก
          เขาจึงหยุดไถนาแล้วเข้าไปพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ ปล่อยให้เจ้าทุยไปกินหญ้าสายตาก็เหม่อมองไปทางบ้านของตน เฝ้ารอคอยแม่ที่จะนำข้างก่องมาส่ง ตามเวลาที่ควรจะมา ด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจ ยิ่งตะวันขึ้นสูงแดดก็ยิ่งร้อนแรงขึ้นความหิวก็ยิ่งทวีคูณขึ้นตามไปด้วย
           ทันใดนั้นเองเขาได้มองเห็นแม่เดินเลียบมาตามคันนา พร้อมกับก่องข้าวน้อยๆ ห้อยอยู่บนเสาแหรกคาน เขาบังเกิดความไม่พอใจที่แม่เอาก่องข้าวน้อยนั้นมาช้ามาก ด้วยความหิวจนตาลาย เขาคิดว่าข้าวในก่องข้าวน้อยนั้นคงกินไม่อิ่มเป็นแน่ จึงต่อว่าแม่ของตนว่า
            “อีแก่ ไปทำอะไรอยู่ถึงมาส่งข้าวให้กูกินช้านัก
ก่องข้าวก็เอามาแต่ก่องน้อยๆ กูจะกินอิ่มหรือ?”
ผู้เป็นแม่ตอบลูกว่า “ถึงกล่องข้าวจะเล็กแต่ก้อน้อยแค่รูปนอกข้างในแน่นนะลูกเอ๋ย ลองกินดูก่อน”
          ความหิว ความเหนื่อย ความโมโห ทำให้หูอื้อตาลาย ไม่ยอมฟังสิ่งใด เกิดบันดาลโทสะอย่างแรงกล้า คว้าเอาไม้แอกแล้วเข้าตีแม่ที่แก่ชราจนล้มลงแล้วก็เดินไปกินข้าว แม้กินข้าวจนอิ่มแล้วแต่ข้าวยังไม่หมดก่อง จึงรู้สึกผิดชอบชั่วดี รีบวิ่งไปดูอาการของแม่และเข้าสวมกอดแม่
         ” อนิจจา ในตอนนี้แม่สิ้นใจไปเสียแล้ว..”
ชายหนุ่มร้อยไห้โฮ สำนึกผิดที่ตนได้ฆ่าแม่เพียงด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ ไม่รู้จะทำประการใดดี จึงเข้ากราบ นมัสการสมภารวัดเล่าเรื่องให้ท่านฟังโดยละเอียด
          สมภารสอนว่า “การฆ่าบิดามารดาของตนเองนั้นเป็นบาปหนัก เป็นมาตุฆาต ต้องตกนรกอเวจีตายแล้วไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเป็นคนอีก มีหนทางเพียวหนทางเดียวจะให้บาปเบาลงได้ก็ด้วยการสร้างธาตุก่อกวมกระดูกแม่ไว้ ให้สูงเท่านกเขาเหิน จะได้เป็นการไถ่บาปหนักให้เป็นเบาลงได้บ้าง”
           เมื่อชายหนุ่มปลงศพแม่แล้ว จึงได้ขอร้องชักชวนญาติๆและชาวบ้านช่วยกันปั้นอิฐก่อเป็นธาตุเจดีย์บรรจุอัฐิแม่ไว้ จึงให้ชื่อว่า “ธาตุก่องข้าวน้อยฆ่าแม่” จนตราบถึงทุกวันนี้
           ทุกวันนี้มีผู้มากราบธาตุก่องข้าวน้อยฯทุกวันเพื่อมาขอขมาลาโทษเหมือนกับเป็นการไถ่บาปที่ทำให้พ่อแม่ของตนเสียใจ บางคนเมื่อมีลูกแล้วจึงได้รู้ว่าบุญคุณของพ่อแม่มากเหลือคณานับ เพิ่งรู้ว่าต้องเลี้ยงดูลูกนั้นยากหนักหนาซักเพียงใด จึงมาสำนึกที่ทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ บ้างก็มากราบไหว้เพื่อรำลึกถึงบุญคุณแม่
อ้างอิง
http://www.nithan.in.th/%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%86%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ตำนานผาแดงนางไอ่

วันนี้น่ะคับผมจะมาให้เกร็ดความรู้เกี่ยวกับผาแดงนางไอ่น่ะคับชึ่งเป็นตำนานของจังหวัดสกลนครผมว่าทุกท่านคงเคยได้ยินเรื่องนี้มาพอสมควรดังนั้นเราไปดูกันเลยครับ

ผาแดงนางไอ่


ตำนานเล่าว่า  เหมืองหนองแสน่านเจ้า  เป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์  มีแม่น้ำ 5 สาย ไหลมารวมกันที่หนองแส  เมืองหนองแส  แบ่งเป็น 2 เมือง  อยู่คนละฝั่ง  แห่งหนองแสทางฝั่งขวาเจ้าสุทนาคปกครอง  ทางฝั่งซ้ายสุวรรณนาคปกครองทั้งสองสามัคคีกันดี  ต่อมาแตกสามัคคีกันเพราะการแบ่งเนื้อเม่น  เจ้าสุทโธนาคไม่พอใจ  คิดว่าเจ้าสุวรรณนาคไม่ชื่อ  จึงทะเลาะกันจนเกิดสงคราม  พระอินทร์ต้องสั่งเทพบุตรลงมาระงับศึกและแบ่งเขตให้เจ้าสุวรรณนาคครองฝั่งใต้ ให้เจ้าสุทธนาคครองฝั่งเหนือและตะวันออก  โดยแบ่งลงไปจนถึงทะเล  นาคทั้งสองจึงขุดคลองจากหนองแสลงสู่ทะเล  คลองทั้งสองก้คือ แม่น้ำของ (ปัจจุบันเรียกโขง) กับแม่น้ำน่าน หรือโพระมิง
สุวรรณนาค  ย้ายเมืองไปตั้งที่นันทบุรี  อาจจะเป็นบริเวณจังหวัดน่านในปัจจุบันส่วนสุทโธนาค  ย้ายไปตั้งที่ ศรีสีตตนาคนหุต ครองลุ่มน้ำของ  และไปถึงทะเลก่อน  จึงได้ปลาบึกขึ้นมาปล่อยไว้ในน้ำของ
สุทโธนาคแห่งศรีสัตตนาคนหุต  มีโอรสชื่อ  ภังคี  เป็นหนุ่มที่รูปหล่อมาก
ทางตอนใต้ของศรีสัตตนาคนหุต  มีเมือง  สุวรรณโคมคำ หรือ  โคมคำ  หรือ  เอกธีตา  เมืองนี้มีพญาขอมเป็นผู้ปกครอง  อาจจะตั้งอยู่บริเวณอำเภอกุมภวาปี  จังหวัดอุดรธานี  พญาขอมมีธิดาที่เลอโฉม  นามว่านางไอ่  หรือนางไอ่คำ  หรือนางไอ่ใจเมือง พญาขอมมีน้องชาย 2 คน  ให้ไปครองเมืองเชียงเหียนและเมืองสีแก้ว  มีหลายชาย 2 คน  ให้ไปครองเมืองฟ้าแดด  และเมืองหงส์  ความงามของนางไอ่  ดังไปทุกทิศจนไปถึงหูของท้าวผาแดง  แห่งเมืองผาโผง  ท้าวผาแดงจึงขึ้นม้าแอบไปพบนางไอ่  และได้สมัครรักใครกัน และสัญญาว่าจะมาสู่ขอตามประเพณีอีกครั้ง
ครั้นถึงกลางเดือนหกพญาขอมจะทำบุญบั้งไฟ  จึงมีใบบอกไปยังหัวเมืองต่างๆ  ที่เป็นเมืองบริวารให้ทำบั้งไฟไปจุดในงาน  ท้าวผาแดงซึ่งไม่ได้รับใบบอก  แต่ทราบข่าว  จึงจัดบั้งไฟเหมือนไปร่วมบุญด้วย  จึงได้ไปพบนางไอ่เป็นครั้งที่ 2 ในการจุดบั้งไฟพญาขอม ให้มีการพนันว่า  ถ้าบั้งไฟใครชนะ  จะให้ครองสมบัติพร้อมทั้งนางสนมกำนัลปรากฏว่า  บั้งไฟของเมืองอื่นๆขึ้นหมด  ส่วนของพญาขอมไม่ขึ้น (ซุ) และของท้าวผาแดงแตกกลางบั้ง  แต่พญาขอมก็มิได้ทำตามสัญญาเจ้าเมืองต่างๆ  ซึ่งเป็นบริวารเห็นว่าผิดสัญญาจึงกลับกันหมด  เหลือแต่ท้าวผาแดง  หลังจากที่ได้พบรักและเสร็จงานแล้ว ท้าวผาแดงจึงลากลับ  พร้อมกับนำความทุกข์กลับไปด้วย (ทุกเพราะความรัก  กลัวจะไม่สมหวัง)
ตลอดเวลางานบั้งไฟท้าวภังคี  มิได้ทำบั้งไฟมาร่วม  แต่ได้จำแลงแปลงตัวมาร่วมงาน  และมาหลงรักนางไอ่ด้วยเช่นกัน  แต่ก็ไม่มีโอกาสเข้าใกล้ชิดนางเหมือนท้าวผาแดง  ท้าวภังคีได้พกเอาความรักกลับบ้าน  ถึงเมืองศรีสัตตนาคนหุต  แล้วก้ไม่เป็นอันกินอันนอน  ทุรนทุราย  จึงได้ลาบิดารมารดาเพื่อมาพบนางไอ่  บิดาห้ามว่าเมืองมนุษย์นั้นอันตรายมาก  อย่าไปเลย  แต่ก็ไม่อาจจะห้ามปรามได้ (ภัคคีมีกรรมจะต้องไปตามกรรม)   เมื่อไปถึงเมืองเอกธีตาท้าวภังคีกับบริวาร  ได้แปลงตนเป็นสัตว์ต่างๆ  ตัวภังคีได้แปลงเป็นกระรอกด่อน (เผือก) มีกระดิ่งทองแขวนคอด้วย  ได้ปืนป่วยกระดดอยู่บนต้นงิ้วใกล้หอปางของนางไอ่  สายตาก็สอดส่ายมองดูนางไอ่  สายตาก็สอดส่ายมองดูนางไอ่  นางไอ่เห้นกระรอกด่อน  มีกระดิ่งทองด้วย  ก็อยากได้จึงให้ตามนายพรานมายิงกระรอก  เมื่อกระรอกถูกยิงด้วยลูกธนู  มันได้อธิญานต่อเทพยดาว่า “ขอให้เนื้อของข้าจงเอร็ดอร่อย และมีพกกินแก่คนทั้งเมือง”  เมื่อกระรอกตายแล้ว  ชาวเมืองก็ได้แบ่งเนื้อกัน  ยกเว้นแม่หม้าย  เพราะเขาถือว่าแม่หม้ายมิได้รับให้ราชการ ผิวมิได้เป้นทหาร  ตำรวจ  ฝ่ายบริวารท้าวภังคีเห้นว่าเจ้านายตนเสีนชีวิตแล้ว  ก็รีบไปบอกท้าวสุทโธนาค  ท้าวสุทโธนาคจึงเกณฑ์พลนับหมื่น  ให้ไปถล่มทลายเมืองพญาขอม  ใครกินเนื้อภังคีต้องเอาให้ตายหมด  กองทัพนาคที่มหึมาจึงเคลื่อนลงใต้  สู่เมืองพญาขอมทันที
วันนั้นเอง  ท้าวผาแดงซึ่งรักนางไอ่แทบหัวอกจะเป็นหนอง ทนอยู่ไม่ได้เช่นกันจึงรีบห้อม้าบักสาม  จากผาโผง  สู่เอกธีตา  ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็นค่ำ  จึงมาถึง  เมื่อมาถึงนางไอ่ก็ต้อนรับด้วยความดีใจ พร้อมทั้งจัดอาหารมาเลี้ยงด้วย  เมื่อท้าวผาแดงรู้ว่าเป็นแกงกระรอก ก็มิได้แตะต้อง  และปรับทุกข์กับนางไอ่ว่า  กระรอกตัวนี้มิไช่กระรอกธรรมดา  มันเป็นท้าวภังคีแปลงกายมา  ใครกินเนื้อท้าวภังคีแล้วบ้านเมืองจะถล่มถึงตาย  พูดจบกองทัพนาคก็มาถึงเมืองแผ่นปฐพีเลื่อนถล่มโครมครามใกล้เข้ามา  ท้าวผาแดงจึงให้นางไอ่เตรียมข้าวของบางชิ้นเช่น  แหวน ฆ้อง  และกลองเล็ก  ที่พอจะเอาติดตัวไปได้ แล้วรีบซ้อนท้าย  ตนเองก็ควบม้าบักสามห้อยออกจากเมืองทันที่ แต่ก็หนีไม่พ้น  แผ่นดินทรุด  ถล่มตามหลังไปไม่หยุด  จนนางไอ่ต้องโยนฆ้องทิ้งไป  และโยนกล้องทิ้ง  สุดท้ายก็โยนแหวนทิ้ง  เมื่อม้าหมดแรงวิ่งช้าลง  พญานาคก้เอาหางตวัดเกี่ยวเอานางไปลงจากหลังม้า  ท้าวผาแดงก็ควบหนีต่อไป  พวกนาคก็ตามไปอีกเพราะมีแหวนนางไอ่ติดตัวไปด้วย  ท้าวผาแดงจึงทิ้งแหวนเสีย  ตนเองจึงปลอดภัย  นาคได้เอาแหวนกลับไปสวมให้นางไอ่  แล้วอุ้มนางลงสู่บาดาลเมืองนาคต่อไป  บ้านใครที่กินเนื้อกระรอกได้ถล่มทลายกลายเป็นทะเลไปหมด  เหลือแต่บ้านแม่หม้าย  คงเป็นดอนแม่หม้าย  ให้เราเห็นอยู่จนทุกวันนี้  พระเณรก็โชคดี  ไม่ได้ฉันด้วย  วัดวาจึงไม่ถล่มทลายไปด้วย
ท้าวผาแดงกลับไปถึงเมืองผาโพงแล้ว  เสียใจที่สูญเสียคนรักไป  จึงอธิฐานต่อเทพยดาว่าจะขอตายเพื่อไปสู้เอานางไอ่กลับมา แล้วก็กลั่นใจตายบนปราสาท  ท้าวเธอได้ไปเกิดเป็นหัวหน้าผี  ได้นำกองทัพไปสู้กับพวกนาค  กองทัพนากกับกองทัพผีได้ต่อสู้กันอยู่นานน้ำในบึงในหนองขุ่นข้น  ดินบนบกกลายเป็นฝุ่นละอองตลบไปทั่วบริเวณพระอินทร์จึงลงมาระงับศึก  ให้ผีกลับไปเมืองผี  ให้นาคกลับไปเมืองนาค  ส่วนนางไอ่ผู้เป็นต้นเหตุให้รออยู่ที่บาดาลก่อนรอให้พระศรีอารย์ลงมาติดสินว่า  นางจะเป็นของใคร  นางไอ่จึงต้องรออยู่จนกว่าจะถึงวันนั้น
อ้างอิง
ผ.ศ.สิรัวัฒน์ คำวันสา.อีสานปริทัศน์.กรุงเทพฯ กรุงสยามการพิมพ์,2523

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ตำนานนางหมาขาว

           สำหรับวันนี้น่ะคับผมก้อจะมาเล่าเรื่องนางหมาขาวซึ่งเป็นเรื่องเล่าของชาวอิสานเรามาตั้งแต่โบราณและเป็นคติสอนใจด้วยคับ

นางหมาขาว

            
            ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีครอบครัวหญิงม่ายคนหนึ่งอาศัยอยู่ใกล้ชายป่า หญิงม่ายมีลูกสายสองคน ฐานะความเป็นอยู่ของนางยากจนมาก แต่หญิงม่ายก็อดทนเลี้ยงดูลูกให้ได้รับความสุขเสมอมา 

           วันหนึ่ง หญิงม่ายเข้าป่าไปเก็บผัก หาผลไม้ หาฟืน นางก็ถูกงูกัดและตายที่ในป่าแห่งนั้นเองฝ่ายลูกสาวทั้งสองคนรอจนมืดค่ำไม่เห็นแม่กลับมาบ้าน จึงได้ออกติดตามถามหาจนได้ไปพบศพแม่อยู่ในป่า นางทั้งสองคนร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเสียใจกับการจากไปของแม่ในครั้งนี้ แล้วก็ช่วยกันนำร่างไร้วิญญาณของแม่กลับมาบ้าน จัดงานตามประเพณีตามกำลังความสามารถของตนแล้วนำเอากระดูกของแม่ไปฝังไว้


          ด้วยความรัก ความห่วงใย และความผูกพันที่มีต่อลูกทั้งสองคน หญิงม่ายก็ได้กลับชาติมาเกิดเป็นหมาสีขาว ซึ่งมีลักษณะพิเศษกว่าหมาทั่วไปคือ สามารถพูดจาสื่อสารได้เหมือนกับคน และสามารถตระหนักระลึกชาติได้ว่าในชาติก่อนนั้นนางเกิดเป็นหญิงม่ายมีลูกสาวสองคน คนทั้งหลายเรียกหมาสีขาวตัวนั้นว่า “นางหมาขาว” ด้วยความคิดถึงลูกนางหมาขาวได้ตั้งจิตอธิษฐานขอให้นางได้พบกับลูกบ้าง ด้วยกุศลจิตและแรงอธิษฐาน จึงทำให้นางหมาขาวรู้ข่าวคราวของลูกสายทั้งสองคน ซึ่งในเวลานี้ลูกสาวคนโตได้แต่งงานกับเศรษฐีอยู่ในเมืองแห่งหนึ่ง ส่วนลูกสาวคนเล็กได้แต่งงานกับหนุ่มชาวนาและอาศัยอยู่ชานเมืองเดียวกันนั่นเอง

           นางหมาขาว มุ่งหน้าเดินทางหวังจะไปพบลูกสาวคนโตก่อน เมื่อไปถึงบ้านของลูกนางหมาขาวก็เข้าไปพบลูกสาวแล้วเล่าเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดให้ลูกสาวคนโตฟัง เมื่อได้ฟังตามความที่เล่ามาทั้งหมดลูกสาวคนโตก็เชื่อว่าเรื่องที่เล่ามาเป็นความจริง แต่ก็ไม่กล้ายอมรับว่านางหมาขาวเป็นแม่ของตน ด้วยเกรงว่าสามีเศรษฐีจะไม่ยอมรับและนางก็มีความอายที่จะบอกแก่คนทั่วไปว่านางหมาขาวเป็นแม่ของตน จึงได้ไล่ให้นางหมาขาวรีบหนีไปที่อื่นก่อนที่สามีของนางจะกลับมา แต่นางหมาขาวก็พูดและอ้อนวอนให้ลูกสาวเชื่อว่าเรื่องที่พูดนั้นเป็นความจริง ในที่สุดลูกสาวคนโตก็เอาไม้ไล่ทุบตี และเอาน้ำร้อนมาราดตัวนางหมาขาว จนได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส และนางหมาขาวเดินทางจากลูกสาวคนโตไป

           นางหมาขาวเดินทางซมซานไปจนถึงบ้านของลูกสาวคนเล็ก เมื่อลูกสาวเห็นว่านางหมาขาวได้รับบาดเจ็บมาก ก็รีบหายามารักษาและให้พักรักษาตัวจนอาการของนางหมาขาวทุเลาลง นางหมาขาวจึงได้เล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นให้ลูกสาวคนเล็กฟัง ลูกสาวคนเล็กเสียใจที่พี่สาวก็กระทำกับแม่เช่นนี้ และบอกว่านางจะเป็นผู้เลี้ยงดูนางหมาขาวให้มีความสุข แต่ด้วยความเจ็บปวดที่นางหมาขาวได้รับนั้นทำให้นางต้องสิ้นใจในเวลาต่อมา

           ลูกสาวคนเล็กได้นำซากศพของนางหมาขาวไปเผา และนำกระดูกมาบรรจุไว้ในไห เก็บไว้บนหิ้งบูชา เพื่อเป็นการรำลึกถึงบุญคุณของแม่ที่เคยเลี้ยงดูมาแต่ชาติปางก่อน เมื่อถึงวันพระครั้งใดนางก็จะเอากระดูกนางหมาขาวมาล้างชำระแล้วประพรมด้วยเครื่องหอมทุกครั้งไป วันหนึ่งนางก็ไปเปิดไหที่บรรจุกระดูกของนางหมาขาว จึงได้พบว่าในไหใบนั้นเต็มไปด้วยทองคำ นางจึงได้นำไปแลกเปลี่ยนและใช้จ่ายในการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แม่ตามควรแก่ฐานะ จนในที่สุดลูกสาวคนเล็กก็มีฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงเป็นเศรษฐีของหมู่บ้านนั้น

            ข่าวความร่ำรวยของลูกสาวคนเล็กได้เล่าลือไปจนถึงหูของพี่สาว นางจึงเดินทางมาที่หมู่บ้านชานเมืองทันที และได้พบกับความจริงดังข่าวที่เล่าลือ จึงได้ถามถึงสาเหตุและความเป็นมาทั้งหมด น้องสาวก็เล่าเรื่องราวดังที่เกิดขึ้นให้พี่สาวฟังทั้งหมด นางจึงขอยืมไหใบที่บรรจุกระดูกไปบูชาบ้างน้องสาวก็ไม่ขัดข้องแต่อย่างใด เมื่อได้แล้วพี่สาวก็รีบเดินทางกลับบ้านทันที
พอมาถึงบ้าน นางก็รีบนำไหที่บรรจุกระดูกของนางหมาขาวไปตั้งไว้ที่หิ้งบูชาทันที รอให้ถึง     วันพระด้วยใจจดใจจ่อ และเมื่อวันพระมาถึงนางก็รีบไปเปิดดูทันที ด้วยหวังว่าจะได้พบทองคำมากมายดังที่น้องสาวได้รับ แต่แล้วนางก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ เพราะว่าข้างในนั้นเต็มไปด้วยงูพิษมากมายหลายชนิด ด้วยความตกใจนางจึงได้วิ่งหนี้อย่างไม่คิดชีวิต จนทำให้พลาดตกบันไดคอหักตายในเวลานั้นเอง


อ้างอิง  http://www.baanmaha.com/community/thread45724.html